เมนู

พระนาคเสนจึงมีเถรวาจาว่า เอวเมว โข มหาราช ดูกรบพิตรผู้ประเสริฐ บพิตรไม่
อาจสำแดงลมให้เห็นโดยวรรณะและสัณฐานได้ฉันใดก็ดี พระนิพพานมีอยุ่ อาตมาก็ไม่อาจสำแดง
ให้เห็นโดยวรรณะและสัณฐานได้เหมือนดังนั้น
พระเจ้ามิลินท์ได้ทรงฟังก็โสมนัสตรัสว่า สาธุ ภนฺเต พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนาดีแล้ว โยมจะ
รับซึ่งคำของพระผู้เป็นเจ้าไว้ในกาลบัดนี้ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ปัจฉิมาชนตาสัตว์
นิพพานัสส อัตถิภาวปัญหา คำรบ 9 จบเพียงนี้

กัมมัชชากัมมัชชปัญหา ที่ 10


้ พระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระ
นาคเสนผู้ปรีชา กตเม เอตฺถ ธรรมชาติทั้งหลายเหล่านี้ที่เกิดแต่กรรมก็ดี เกิดแต่เหตุก็ดี เกิดแต่
ฤดูก็ดี จะได้แก่สิ่งดังฤๅ กตเม น กมฺมชฺชา ธรรมชาติอันมิได้เกิดแต่กรรมและเหตุและฤดูนั้น
ได้แก่สิ่งดังฤๅ
พระนาคเสนจึงถวายพระพรว่า มหาราช ดูกรบพิตรผู้ประเสริฐ เย เกจิ สตฺตา
แต่บรรดาสัตว์ที่ประกอบไปด้วยเจตนาเหล่าใดเหล่าหนึ่งนั้นเกิดแต่กรรมสิ้น อันว่าต้นไม้และ
เครือเขาเถาวัลย์ที่เป็นพืชคามและภูตคามนั้นเกิดแต่เหตุ ภูเขา แผ่นดิน น้ำ ลม และไฟทั้ง
หลายนี้เกิดแต่ฤดู ยังธรรมชาติอีก 2 ประการ คืออากาศและพระนิพพานมิได้เกิดแต่กรรมแต่
เหตุแต่ฤดู อันพระนิพพานนี้จะว่าเกิดแต่กรรมหรือแต่เหตุหรือแต่ฤดูก็ไม่ได้ จะว่าบังเกิดขึ้น
แล้วหรือยังมิได้บังเกิดขึ้น หรือเป็นสิ่งที่จะพึงให้บังเกิดขึ้นก็ไม่ได้ และไม่เป็นอดีตไม่เป็นอนาคต
ไม่เป็นปัจจุบัน บุคคลจะพึงรู้ได้ด้วยจักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย อินทรีย์ทั้ง 5 นี้ก็หามิได้ รู้
ได้ด้วยใจอย่างเดียว และรู้ได้แต่พระอริยสาวกผู้ปฏิบัติชอบ ซึ่งอาศัยเห็นได้ด้วยปัญญาอันบริ-
สุทธิ์เท่านั้น ขอถวายพระพร
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นประชากรได้ทรงสวนาการ ก็ทรงโสมนัสตรัสว่า ภนฺเต ข้า
แต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ ปัญหานี้พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนาได้ถูกต้องทุกประการ โยมได้สดับเข้าใจ
สิ้นวิมัติกังขาสงสัยแล้ว จักขอรับไว้ปฏิบัติสืบไป
กัมมัชชากัมมัชชปัญหา คำรบ 10 จบเพียงนี้
จบสัตตมวรรค

อัฏฐมวรรค


ยักขานัง มรณภาวปัญหา ที่ 1


สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นประชามหากษัตริย์ขัตติยาธิบดีมีพระราชโองการตรัสถามปัญหา
อื่นสืบไปว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้ปรีชา ยักษ์ทั้งหลายในโลกนี้มีอยู่หรือหามิได้
พระนาคเสนถวายพระพรรับว่า อาม มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภารผู้ประเสริฐ
ยักษ์ทั้งหลายในโลกนี้มีอยู่
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นกษัตริย์ มีพระราชโองการตรัสถามอีกว่า จวนฺติ ปน เต
ภนฺเต
ก็เมื่อยักษ์ทั้งหลายมีอยู่ ยักษ์เหล่านั้นย่อมเคลื่อนจากกำเนิดนั้น เหมือนดังสัตว์ที่เห็น
ปรากฏชัดอยู่ในทุกวันนี้หรือหามิได้ พระผู้เป็นเจ้าจงชี้แจงสำแดงอรรถให้โยมนี้ทราบประจักษ์
ในกาลบัดนี้
พระนาคเสนจึงถวายพระพร อาม มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร ยักษ์ทั้ง
หลายเหล่านั้นย่อมเคลื่อนจากกำเนิดนั้น ดังสัตว์ที่ปรากฏชัดในทุกวันนี้เหมือนกัน จะได้วิปริต
ผิดเพี้ยนไปจากนี้หามิได้ ขอถวายพระพร
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่ปนประชากร จึงมีสุนทรวาจาตรัสถามพระนาคเสนต่อไปว่า กิสฺส
ปน ภนฺเต นาคเสน
ข้าแต่พระนาคเสนผู้ปรีชาญาณยิ่ง ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุดังฤๅ จึงไม่พบ
เห็นซากศพของยักษ์ที่ตายนั้นสักครั้งหนึ่ง โดยที่สุดแม้กลิ่นแห่งซากศพก็มิได้ฟุ้งมากระทบ
ฆานประสาท ให้รู้สึกมีกลิ่นเหม็นแม้สักครั้งหนึ่ง น่าสงสัยนักพระผู้เป็นเจ้า
พระนาคเสนถวายพระพรวิสัชนาว่า ทิสฺสติ มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร
ผู้ประเสริฐ ศพของยักษ์ย่อมปรากฏ แม้กลิ่นแห่งซากศพของยักษ์เหล่านั้นก็ย่อมฟุ้งมีกระทบ
๋ฆานประสาทเหมือนกัน แต่บุคคลหารู้สึกว่าเป็นศพของยักษ์ไม่ เพราะร่างกายของยักษ์ผู้ตาย
แล้วนั้นกลายเป็นตั๊กแตนไปบ้าง กลายเป็นหนอนไปบ้าง กลายเป็นมดแดงไปบ้าง กลาย
เป็นมดดำไปบ้าง บางทีก็กลายเป็นงู บางทีก็กลายเป็นแมงป่อง บางทีก็กลายเป็นตะขาบ
บางทีก็กลายเป็นนก บางทีก็กลายเป็นเนื้อ อาศัยเหตุนี้แหละ มหาชนจึงไม่ทราบว่าเป็นศพ
ของยักษ์ที่ตาย นะบพิตรพระราชสมภาร
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นประชาสาคลราชธานี เมื่อพระนาคเสนถวายพระพรวิสัชนามา
ดังนี้ ก็สิ้นวิมัติกังขาสังสัย มีความรื่นเริงบันเทิงใจ จึงเปล่งสุนทรพจน์ออกไปชมพระนาคเสนว่า
โก หิ ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้ปรีชา ปัญหานี้มีอรรถลึกซึ้งสุขุมคัมภีรภาพ